กด share หน้านี้ใน Line (เปิดจาก smartphone เท่านั้น)
เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557 วันเริ่มต้นของการเปิดทำการตลาดหลักทรัพย์และของกองทุนรวมในปี 2557 SET index ได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก ที่ 1,230.77 -67 (-5%) โดย สถาบันในประเทศซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มของกองทุน LTF(อาจมี กองทุนอื่น + บริษัทประกันชีวิตแต่เป็นส่วนน้อย) ขายออกจำนวนมากถึง -3,659 ล้านบาท ปัจจุบัน 7 มค. 57 ยอดขายสุทธิ -4,450 ล้านบาท การที่กองทุนขายหุ้นออกมาจำนวนมากสาเหตุหลักมักจะมาจากเจ้าของเงินลงทุนตัวจริง คือผู้ลงทุนรายย่อยที่ซื้อหน่วยลงทุน ขายคืนจำนวนมาก จนกองทุนต้องขายหุ้นที่ถือครองเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด คืนให้นักลงทุน
การขายคืนหน่วยลงทุน LTF จำนวนมาก มักจะมาจากความคิดความเชื่อของนักลงทุนที่มักต้องการเห็นผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินมากกว่าตัวเลข ถ้านับ 3 ปีซื้อขายหรือ 5 ปีปฏิทิน ปี 2553 SET ณ 30 ธค. 53 อยู่ที่ 1032 การขายที่ SET 1230 ก็ได้กำไรส่วนต่างมากถึง 1230/1032=19% น่าจูงใจให้ขายอย่างมาก
กองทุน LTF ถือกำเนิดมาในปี 2547 โดย ตลาดหลักทรัพย์เสนอแผนที่จะเพิ่มจำนวนนักลงทุนให้มีจำนวนมากเพื่อให้มีสภาพคล่องมากขึ้นในการซื้อขายหลังจากการล่มสลายของเศรษฐกิจไทยในยุค ต้มยำกุ้งปี 2540 7ปีที่ผ่านมา มีผู้คนจำนวนมากหมดตัว ล้มลาย หรือบางทีก็มีข่าวลือฆ่าตัวตายจากการขาดทุนจำนวนมากในตลาดหุ้น ผู้คนทั่วไปจะเข็ดขยาดหวาดกลัวการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วง ปี 2540-2550 แต่ด้วยนโยบายการลดหย่อนภาษีที่โฆษณาโดยภาครัฐที่ พิมพ์การลดหย่อนภาษีด้วย LTF ไว้ในแบบแสดงยื่นภาษี จะเป็นกลยุทธที่น่าจูงใจอย่างยิ่ง เมื่อผ่านวิกฤติ subprime ในปี 2551-2552 ความหวาดกลัวการลงทุนในตลาดหุ้นก็เริ่มลืมเลือน ประกอบกับมีกลุ่มชนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จากความแพร่หลายของ การศึกษาในมหาลัยซึ่งจะสร้างมนุษย์เงินเดือนเพิ่มขึ้นใหม่ ๆ การโฆษณา LTF ผสมกับการแจกของที่ระลึก การโฆษณาในใบแสดงยื่นภาษีของรัฐบาล กองทุน LTF จะมีอิทธิพลที่เพิ่มขึ้น ขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ปี มีขนาดโตขึ้นหลายเท่าตัว
กลยุทธการซื้อ LTF มักจะถูกแนะนำโดย กองทุน LTF เองว่าควรทำอย่างไร ให้กับมนุษย์เงินเดือน โดยอาจอยู่ในรูปแบบสัมมนา จดหมายข่าว หรือการให้คำปรึกษาที่หน้า counter แต่สิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการบอกต่อ จากเพื่อนฝูงญาติมิตร
กลยุทธที่นิยมมักจะเน้นสะดวก การบอกต่อ แบบที่นิยมกันอย่างมากมักจะซื้อ LTF ในเดือน ธันวาคม ก่อนสิ้นปีภาษี อาจเป็นต้นเดือน ธันวาคมและจะหนาแน่นอย่างมากในปลายเดือนก่อนจบปีภาษี เราจะสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ได้ผ่านยอดสุทธิของสถาบันในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นแบบผิดปกติในเดือน ธันวาคม
เมื่อมีการซื้ออย่างมากใน เดือนธันวาคม ในเดือนถัดมา มกราคม ก็จะพบว่า สถาบันก็ขายสุทธิออกจำนวนมาก อาจมีข้อสงสัยว่า สถาบันในประเทศขายหุ้นออกแต่ เก็บเงินลงทุนไว้ในกองทุนจำนวนมากไม่ได้คืนนักลงทุนหรือไม่ คำตอบจะอยู่ในนโยบายของกองทุนที่กำหนดไว้ว่า ต้องลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่าจำนวน % ที่กำหนดไว้ซึ่งจะไม่ต่ำกว่า 70% ใน LTF แบบ 70/30 และส่วนมากจะไม่ต่ำกว่า 95% ใน LTF แบบปกติ การขายหุ้นออกจำเป็นต้องคืนเงินให้นักลงทุนไม่สามารถเก็บเงินสดไว้ในกองทุนได้นานกว่าที่ระบุไว้ ว่าต้องโอนเงินให้นักลงทุนที่มาขอขายคืนภายในกี่วัน ส่วนมากจะเป็น T+3 นั่นเอง
กลยุทธซื้อใน ธันวาคม ขายใน มกราคม ในปี 2556-2557 จะเห็นได้ชัดเพราะปี ธันวาคม 2556 SET ปรับตัวลงต่อเนื่องทั้งเดือน จะพลักดันให้ นักลงทุนที่เร่งซื้อ LTF ใน ธันวาคม ต้องรีบขายใน มกราคม 2557 เพราะความกลัวว่า SET จะปรับตัวลดลงอีก ถ้าไม่ขาย ก็เกรงว่ากำไรจะลดลงมาก
การทดสอบกลยุทธจะทดสอบกับ SET 26 ปี จากปี พศ. 2531-2556 ที่มีผลตอบแทนทบต้นที่ 5.6% ต่อปี (ผลตอบแทนทบต้นคือ ผลตอบแทนที่รวมกำไรจากดอกเบี้ย รวมเข้ากับเงินต้น และคิดดอกเบี้ยทั้งก้อน โดยถือว่าเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเงินต้นในปีถัดไป จะเป็น snowball effect) โดยจะเปรียบเทียบกลยุทธดังต่อไปนี้
กลยุทธ LTF เทียบกับ index fund
BuyDecSellJan: ซื้อ LTF เดือนธันวาคม ขายในเดือนมกราคม
เป็นกลยุทธซื้อ LTF ที่ยอดนิยมที่จะซื้อ ที่เดือนธันวาคมโดยกลยุทธจะซื้อที่ต้นเดือนธันวาคมที่เปิดทำการโดยซื้อ LTF ที่เงินลงทุนปีละ 1 แสนบาท จากนั้นเมื่อมาถึงเดือนมกราคมปีถัดมา ถ้า LTF ส่วนใดครบอายุ 5 ปีปฏิทินก็จะขาย LTF นั้นออกทั้งหมด ไม่ได้คำนึงว่าจะกำไรหรือขาดทุน ครบอายุก็จะขายทันที
กลยุทธนี้จะมีความเป็นธรรมชาติในเรื่องเดือนที่ซื้อขาย แต่อาจไม่ปกติในการขายที่ไม่คำนึงว่ากำไรหรือขาดทุน ซึ่งโดยปกติถ้าขาดทุนนักลงทุน LTF มักถือต่อเนื่อง แต่เพื่อให้ง่ายในการทดสอบจึงกำหนดเงื่อนไขแบบนี้ อีกทั้งการขายทันทีอาจมีนักลงทุนจำนวนนึงที่ทำเช่นนี้
ผลตอบแทนรวมของการทดสอบจะรวม เงินต้น+กำไรส่วนต่าง+ลดหย่อนภาษีที่อัตรา 15% ของ 1 แสนบาทซึ่งเป็นอัตรากลางๆของนักลงทุนโดยทั่วไป
การลงทุนจะซื้อ LTF ที่ 1 แสนบาทเท่ากันทุกปี ไม่มีการซื้อเพิ่ม โดยมีสมมติฐานว่าเงินเดือนโดยเฉลี่ยไม่ได้เพิ่มขึ้นตลอด 26 ปี(อาจคิดว่าค่า 1 แสนบาทเป็นค่าเฉลี่ยของ 26 ปีก็ได้ ไม่ใช่ค่าเริ่มต้นปีที่ 1 )
BuyDecHold: ซื้อ LTF เดือนธันวาคม แต่ไม่ขายออกเลย
กลยุทธนี้จะซื้อ LTF ที่ต้นเดือนธันวาคม แต่จะไม่ขาย LTF ที่หมดอายุเลย ถือครองตลอด 26 ปี มีนักลงทุนจำนวนนึงที่มีความคิดว่าตนเองก็มีเงินเพียงพอใช้จ่าย ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมาก ก็เก็บเงินลงทุนไว้ใน LTF ตลอดไปจนกว่าจะเกษียณ หรืออาจคิดว่าการลงทุนแบบถือยาวจะทำให้ได้กำไรหรือผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่า
การซื้อ LTF จะซื้อด้วยจำนวนเงิน 1 แสนบาท และมีอัตราลดหย่อนภาษีที่ อัตรา 15 % เช่นเดียวกันกับ กลยุทธแรก
DCA: ซื้อ LTF เฉลี่ยเท่ากันทุกต้นเดือน
จะซื้อ LTF ด้วยจำนวนเงิน 1 แสนบาทต่อปี เช่นเดียวกันแต่เฉลี่ยออกเป็น 12 ส่วน ซื้อทุกต้นเดือน 12 เดือน นักลงทุนที่ทำเช่นนี้อาจมีความคิดความเชื่อมาจากการศึกษา หรือไปสัมมนาจาก กองทุนที่มักจะกล่าวว่า การซื้อเฉลี่ยจะช่วยลดความผันผวนของราคาได้ ซื้อเดือนนี้ราคาแพง ซื้อเดือนหน้าได้ราคาถูก ก็จะเฉลี่ยกันไป ไม่ทำให้ต้นทุนแพงมากเกินไป และเป็นเรื่องที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกมีส่วนร่วมในการลงทุนได้บ่อยครั้งส่งผลต่อความรู้สึกภูมิใจในการรับผิดชอบการมีวินัยการลงทุนที่ดี ยิ่งทำนานหลายครั้งก็ดูรายงานการลงทุนบ่อยครั้ง ก็จะยิ่งรู้สึกว่ากลยุทธนี้เป็นกลยุทธที่ควรทำอย่างยิ่ง
การขาย LTF จะไม่มีการขาย เพราะถ้ามีการไปสัมมนากับกองทุนมาก็จะแนะนำให้ทำเช่นนี้ คือ ซื้อ แบบ DCA แล้วไม่ขายตลอดไป แต่มีเป้าหมายที่กำไรทบต้นที่จะได้ผลตอบแทนรวมที่สูงเมื่อเกษียณอายุ ในบางสัมมนาของบางกองทุนถึงกับมีตารางคำนวณว่า ถ้าต้องการเป้าหมายเงินเท่าไหร่ จะต้องลงทุนเดือนละเท่าไหร่ ซึ่งส่วนมากต้องลงทุนแบบหลายสิบปี จนเกษียณจึงสำเร็จตามเป้าหมาย แต่การบรรลเป้าหมาย จะง่ายดายดังตารางคำนวณเหล่านั้นหรือไม่ต้องดูที่ผลทดสอบ
MACD: กลยุทธ MACD ที่ลงทุนในกองทุนรวมแบบ index fund
ใช้กลยุทธ MACD ซึ่งเป็นเป็นกลยุทธที่จับจังหวะตลาดหรือ market timing เข้าซื้อขายกองทุนรวมแบบที่เป็น index fund ซึ่งไม่ใช่ กองทุน LTF โดยผลตอบแทนจะใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของ SET การซื้อกองทุนรวมจะไม่ซื้อในกองทุนรวมที่เป็น LTF คือไม่มีจำกัดเพดานการซื้อที่ 15% ของรายได้ หรือ 5 แสนบาทแต่จะซื้อเต็มจำนวนที่เงินลงทุนมี
โดยการซื้อจะเพิ่มเงิน 1 แสนบาททุกปีเหมือนการซื้อ LTF ทุกประการ
แต่จะรอจังหวะสัญญาณซื้อจึงเข้าซื้อ เงินต้นที่ใช้ 2.6 ล้านบาทใน 26 ปีที่ลงทุนเท่ากับเงินต้น LTF
แต่จะรอจังหวะสัญญาณซื้อจึงเข้าซื้อ เงินต้นที่ใช้ 2.6 ล้านบาทใน 26 ปีที่ลงทุนเท่ากับเงินต้น LTF
ใช้กลยุทธนี้เป็นกลยุทธเปรียบกับการซื้อกองทุน LTF โดยกลยุทธนี้ จะมีลักษณะที่ไม่พึ่งพาการลดหย่อนภาษี ไม่ได้ต้องการเงินปันผล ผลตอบแทนมาจากส่วนต่างราคา ต้องการการลงทุนที่ต่อเนื่องเป็นจังหวะที่เหมาะสม ไม่มีข้อจำกัดด้านเพดานการลงทุน เนื่องจากเป็นการจับจังหวะการลงทุนหรือ market timing การใช้กลยุทธ MACD นักลงทุนโดยปกติจะไม่สามารถทำได้ง่ายนัก เพราะต้องผ่านการทดสอบ หรือมีความรู้มากเพียงพอจึงจะทำได้ การไปฟังสัมมนาหรือซื้อหนังสือมาอ่าน อาจไม่สามารถที่จะปฏิบัติด้วยกลยุทธแบบนี้ได้
กองทุน LTF ส่วนมากจะไม่ใช่ index fund ที่ผลตอบแทนจะใกล้เคียง SET ในทุกช่วงเวลา จะมีบางช่วงที่ทำได้ดีกว่า SET บางช่วงแย่กว่า SET แต่ถ้าคิดในระยะยาวเกิน 10 ปี active LTF จะมีผลตอบแทนใกล้เคียง passive index fund
active fund จะเลือกหุ้นขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่มีการเติบโตสูงในบางช่วงวัฏจักรธุรกิจ และอาจเปลี่ยนตัวบ่อยครั้งตามสภาพตลาด
passive index fund จะเลือกหุ้นขนาดใหญ่ ที่มั่นคงมาก มีการเติบโตน้อย มักไม่มีการเปลี่ยนตัว เพราะ market cap ของหุ้นเหล่านั้นจะสูงหรือเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่กองทุนจะเลือกหุ้นที่มี market cap ใหญ่ไว้ในกองทุน
แต่เนื่องจาก วัฏจักรธุรกิจจะเป็นวงจรที่ธุรกิจนึงจะเกื้อหนุนให้อีกธุรกิจนึงเติบโตต่อเนื่อง จะไม่มีธุรกิจใดที่เติบโตอย่างโดดเดี่ยว ในระยะยาวแล้วอัตราการเติบโตของธุรกิจชั้นดีโดยรวมจะมีค่าใกล้เคียงกัน ธุรกิจชั้นดีเหล่านั้น กองทุนแบบ passive ส่วนมากจะซื้อหุ้นซ้ำๆกันในหลายๆ กองทุน ในหลายๆ ช่วงเวลา กองทุน active อาจเลือกหุ้นที่ต่างจาก passive แต่ก็มักจะเลือกหุ้นที่ซ้ำกันกับหลายๆ กองทุนที่เป็นลักษณะเดียวกัน
การเปรียบเทียบว่ากองทุนใดดีกว่ากองทุนใดในบางช่วงเวลา อาจเห็นตัวเลข performance % ที่ต่างกันแต่ถ้าถือเทียบกันในระยะยาว ผลตอบแทนจะมีค่าใกล้เคียงกันเนื่องจากซื้อหุ้นที่ซ้ำกันนั่นเอง
ผลการทดสอบ
ผลการทดสอบ พบว่ากลยุทธยอดนิยมที่พึ่งเกิดเหตุการณ์ไปคือ BuyDecSellJan ให้ผลตอบแทนที่ 1.7% ต่อปีแม้จะรวมส่วนที่ลดหย่อนภาษีแล้วก็ตาม กลยุทธ BuyDecHold ให้ผลตอบแทนถึง 3.7% ต่อปี ส่วน DCA ให้ผลตอบแทนรองลงมาที่ 3.6% ซึ่งกลยุทธที่ซื้อ LTF ทั้งหมดได้รวมผลตอบแทนที่เป็น เงินต้น 2.6 ล้านบาท รวมกำไรส่วนต่างและ ลดหย่อนภาษี 15% ที่ 3.9 แสนบาทแล้ว
กลยุทธที่ยอดนิยมให้ผลตอบแทนแค่ 1.7% ซึ่งต่ำกว่าฝากประจำโดยทั่วไปแม้จะรวมลดหย่อนภาษีแล้ว
กลยุทธที่ซื้อ เดือน ธันวาแล้วถือตลอดไป หรือ DCA ที่ถือตลอดไปเช่นกันให้ผลตอบแทนมากกว่าถึง 2 เท่า กลยุทธ BuyDecSellJan ซึ่งเป็นกลยุทธยอดนิยมก็ให้ผลที่สอดคล้องกับกฏของส่วนน้อย กฏของผลประโยชน์ที่คนส่วนมากทำสิ่งที่ซ้ำๆกันจะได้ผลประโยชน์แค่เล็กน้อยเท่านั้น
คลิ๊กที่ภาพเพื่อดูรายละเอียด
กลยุทธ DCA ไม่ได้เพิ่มกำไรให้มากกว่าการซื้อครั้งเดียวที่เดือน ธันวาคม แต่อย่างใด ไม่คุ้มค่าที่อุตส่าห์แบ่งซื้อทุกเดือน ซื้อปีละ 12 ครั้งแต่กลยุทธ BuyDecHold ซื้อครั้งเดียว การทำงานจำนวนมากในการลงทุนไม่ได้ซื้อ 12 ครั้งกับไม่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเลย ซื้อแค่ครั้งเดียวคุ้มค่ากว่ามาก
และเป็นธรรมชาติของการลงทุนที่การทำ transaction จำนวนมากมักให้ผลตอบแทนที่ไม่ได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับ DCA ที่มี การซื้อมากถึงปีละ 12 ครั้งเทียบกับ BuyDecHold ซึ่งปีละ 1 ครั้งเท่านั้นเอง
ที่สัมมนากองทุนรวม อาจไม่ได้ทดสอบกลยุทธเช่นนี้แบบใช้ตัวเลขจริง แต่อาจใช้ตัวเลขประมาณการณ์หรือบางทีก็เป็นแค่จินตนาการ จึงไม่ได้ตัวเลขเช่นนี้ ต่างจากการทดสอบนี้ที่ใช้ SET index ตัวเลขจริงในแต่ละเดือน แต่ละปีมาคำนวณมูลค่าจริง
แต่ที่น่าตกใจอย่างมาก กลยุทธ MACD จับจังหวะตลาดซื้อ index fund ไม่พึ่ง LTF ให้ผลตอบแทนรวมแบบที่ไม่มีลดหย่อนภาษีเพราะซื้อกองทุนรวมที่ไม่ได้จำกัดเพดาน(ในความเป็นจริง LTF ก็ไม่ได้จำกัดเพดาน แต่เอาส่วนเกินมาหักลดหย่อนภาษีไม่ได้ คนทั่วไปจะซื้อแค่เต็มเพดานแล้วหยุดซื้อ) กลยุทธ MACD นี้ให้ผลตอบแทนมากถึง 10% ต่อปี คิดเป็นเงินถึง 29 ล้านบาท จากเงินต้น 2.6 ล้านบาท
เงินจำนวน 29 ล้านบาทจะคู่ควรกับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล ทุ่มเท มุ่งมั่นศึกษาอย่างแท้จริง ทำในสิ่งที่คนทั่วไปมักไม่ทำกัน เชื่อมั่นและอดทนลงทุนมายาวนานได้ถึง 26 ปีเพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ถ้าเทียบผลตอบแทน MACD กับ BuyDecHold ที่เป็นกลยุทธ LTF ที่ดีที่สุด MACD ให้ผลตอบแทน 29 บาทเทียบกับ 6.3 ล้านบาท MACD ทำได้ดีกว่า 4 เท่าตัว เป็นการทำงานที่ให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างมาก จากเงินต้นที่เท่ากัน
ที่เป็นเช่นนี้เพราะกลยุทธ MACD เหนือกว่า LTF ที่
- มีการจับจังหวะที่จะถือครองเฉพาะช่วงที่เป็นขาขึ้น ขาลงไม่ซื้อ ถือในช่วงที่เป็นขาขึ้น
- ไม่จำกัดเพดานการซื้อที่ 15% แต่ใช้เงินต้นที่ขายออกมาครั้งก่อนทุ่มซื้อกลับไปได้ทั้งหมด ต่างจาก LTF ที่จำกัดเพดานในแต่ละปี (นักลงทุนเข้าใจไปเองว่าต้องจำกัด เอาแค่ลดหย่อนภาษี)
อำนาจของการเอากำไรมาทบต้นจะมีพลังอำนาจมากเมื่อผ่านไปในระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอนั่นเอง
ถ้าเป็นเช่นนี้เราอาจปรับ BuyDecHold ด้วยการซื้อให้เกินเพดานที่จำกัดที่ 15% ที่ 1 แสนบาททุกปี ซื้อกองทุนที่ชื่นชอบนอกจาก LTF ได้ก็จะช่วยให้ผลตอบแทนมากขึ้นได้
ในความเป็นจริงเราไม่จำเป็นต้องซื้อ LTF เลยก็ได้ ซื้อกองทุนรวมธรรมดาที่เป็น index fund ก็ได้ผลตอบแทนมหาศาลถ้ามีความรู้ในกลยุทธ MACD
อีกทั้งผลตอบแทนในส่วนที่เป็นลดหย่อนภาษี 15% ถ้าเทียบกับผลตอบแทนรวมเป็นแค่ 6-10% เป็นส่วนเล็กน้อยของผลตอบแทนรวม เหตุผลที่ซื้อ LTF คงจะมีแค่ไม่ต้องการเสียภาษีให้รัฐบาลที่เราไม่ชอบ ส่วนเหตุผลของการลดหย่อนภาษีเป็นแค่ส่วนเล็กน้อยเท่านั้น
และที่สำคัญ LTF ไม่สามารถใช้กลยุทธ market timing แบบ MACD ได้ การขายคืนก่อนครบอายุทำไม่ได้ใน LTF แม้จะมีการ switching แต่ก็มักมีตัวเลือกกองทุน LTF ที่ไม่ใช่หุ้นน้อยมาก
กลยุทธ MACD ต้องสามารถซื้อได้ไม่จำกัดเพดาน เมื่อขายก็ต้องขายได้ทั้งหมด port จึงจะประสบความสำเร็จ
การที่ได้ผลตอบแทนแค่ 1.7% ในกลยุทธยอดนิยมซื้อธันวาขายมกรา BuyDecSellJan กลุ่มที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงคงไม่ใช่นักลงทุนอย่างแน่นอนเพราะการฝากประจำรูปแบบอื่นทำได้ดีกว่า 1.7% แน่นอน แต่กลุ่มที่ประโยชน์อย่างมหาศาลคงหนีไม่พ้นกองทุนรวมที่ได้ค่าธรรมเนียมอย่างเป็นกอบเป็นกำ ไม่ว่าหุ้นจะตกหรือขึ้นค่าธรรมเนียมก็ยังจะอยู่ในระดับสูง แม้จะคิดค่าธรรมเนียมตาม NAV ถ้าลดลงจะได้ค่าธรรมเนียมลดลง แต่การโฆษณาในลักษณะต่อเนื่อง ประชานิยม ชวนเชื่อ จะทำให้จำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ เติบโตต่อเนื่องทำให้ธุรกิจกองทุนรวมมีมูลค่าสูงขึ้น เก็บค่าธรรมเนียมได้สูงขึ้นอย่างมาก NAV ลดลงแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลสำหรับกองทุนรวมเหล่านี้ แต่จะเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างมากสำหรับนักลงทุน ที่ทรัพย์สินของตนเองลดลง
กองทุนรวมมีหน้าที่ถือหุ้นตามนโยบายที่กำหนดไว้ ส่วนการเลือกกลยุทธของนักลงทุนควรเป็นความรับผิดชอบของนักลงทุนที่จะเลือกสรรด้วยตนเอง ดังที่เห็นจากการทดสอบ กลยุทธที่กองทุนแนะนำเช่น DCA ก็ไม่ได้ทำให้ผลตอบแทนมากขึ้น แต่กองทุนก็ยังแนะนำ การขาย LTF ในเดือนมกราคมก็ไม่มีกองทุนใดบอกกล่าวเรื่องนี้แบบจริงจัง กองทุนมักเน้นหนักแค่เรื่องลดหย่อนภาษี
ข้อมูลที่นำมาทดสอบเป็นข้อมูลของ SET ที่เป็นข้อมูลสาธารณะ การทดสอบสร้างขึ้นมาจาก excel ธรรมดา ถ้ากองทนรวมตั้งใจจะทดสอบ คงไม่ยากเกินความสามารถที่จะทำได้ถ้าตั้งใจจะทดสอบอย่างจริงจัง
เนื่องจากกองทุนมีธุรกิจที่เก็บค่าธรรมเนียม จึงไม่แปลกอะไรที่กองทุนรวมจะไม่แนะนำในเรื่องรักษาผลประโยชน์นักลงทุนอย่างแท้จริง กองทุนมักรักษาผลประโยชน์ของตนเองในลักษณะการทำธุรกิจก่อน นักลงทุนควรจะเป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ด้วยตนเอง จะหวังพึ่งให้กองทุนรวมมาดูแลในหลายๆอย่างคงเป็นไปได้ยาก
การลงทุนเป็นการทำธุรกิจที่ต้องอาศัยความรู้ประสบการณ์ การรวบรวมข้อมูล การทดสอบ การบอกต่อทำตามสัญชาติญาณ อาจได้ผลตอบแทนที่ไม่น่าพอใจนัก การเปิดเผยความจริง ตั้งข้อซักถามจะช่วยพัฒนาความรู้และความมั่งคั่งให้นักลงทุนได้อย่างแท้จริง และยั่งยืนได้
Wealth is a tool of freedom, but the pursuit of wealth is the way to slavery.
Frank Herbert
บทความนี้เป็นชุดต่อเนื่องของ เกษียณรวย สินทรัพย์ทางการเงิน กลุยุทธกองทุนรวม
ถ้าต้องการ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง
LTF หรือ DCA จะเป็นสิ่งที่ให้ตอบแทนอยู่ในระดับต่ำถ้านำมาจัดอันดับกับวิธีอื่นๆ
ซึ่งจะไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงที่ต้องให้ได้ กำไรแบบทบต้น >13%
แต่การลงทุนแบบจับจังหวะราคาจะสร้างอำนาจการขยายของกำไรได้อย่างมากกว่าการถือเฉยๆหรือซื้อเฉลี่ยไปเรื่อยๆ
ติวเตอร์หุ้นจึงได้สร้างระบบการลงทุนในกองทุนรวม หรือ
DCA Mutan Z ซึ่งจะเป็นการลงทุนแบบจับจังหวะราคา ว่าต้องซื้อขายเมื่อไหร่ และ
Secret Stock ระบบเลือกหุ้น และจับจังหวะราคา โดยระบบจะเลือกหุ้นให้แบบอัตโนมัติ
สนใจดูรายละเอียเพิ่มเติมได้ที่
DCA Mutant Z ระบบจับจังหวะราคากองทุนรวม
Secret Stock ระบบเลือกหุ้น จังหวะราคา
คลิ๊กที่ภาพเพื่อดูรายละเอียด
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น