วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปันผลสูงหรือเติบโตดี: ไม้ดอกที่ให้ดอกงามหรือไม้ยืนต้นใหญ่ที่ให้ร่มเงา

ปันผลมักจะเป็นหัวข้อที่นักลงทุนทั่วๆไป ไม่ว่าจะมือเก่าหรือใหม่มันจะหยิบยกมาพิจารณาในการคัดเลือกหุ้น เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องเห็นได้ชัดที่สุดในการลงทุนหุ้น ซื้อหุ้นไปแล้วโอนเงินปันผล หรือส่ง Cheque ให้ไปที่บ้าน ติดตามว่าเงินเข้าวันไหน เป็นกิจกรรมที่ทำให้ทุกคนมีความสุขจากการลงทุนที่จับต้องได้ เมื่อเทียบกับการลงทุนที่หวังเอาส่วนต่างราคาที่ต้องใช้จังหวะในการเข้าออกตามความเข้าใจทั่วๆไป ปันผลดูจะเป็นสิ่งที่เป็นตัวตนเหมือนไข่ทองคำดังที่นิยมพูดกันมากกว่า เนื่องจากผลตอบแทนรวม=ส่วนต่างราคา+ปันผล เราจะมาพิจารณาทั้งส่วนต่างราคาและ ปันผลผ่านมุมมอง ROE ,และปันผลที่สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ส่วนใดให้ผลตอบแทนรวมมากกว่ากัน
เวอร์ชั่น Youtube HD
บ.เมื่อทำกิจการจะได้กำไร(ในกรณีปกติ แต่ขาดทุนก็มี) กำไรถ้าเอามาเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้น จะเรียกว่า ROE=Return of Equity= profit/equity=eps/bvps, ส่วนที่เป็น eps บ.จะมีนโยบายในการปันผลที่เป็น % แตกต่างกัน ในบ.ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นจะปันผลน้อย เช่น 30% ของ กำไร หรือ eps นั่นเอง ในบ.ที่เติบโตมานานจะปันผลมาก 70% เพราะไม่จำเป็นต้องเอากำไรกลับไปลงทุนอีก เราจะสังเกตเห็นนโยบายนี้ในรายงานประจำปี ถ้ามองลึกเข้าไป ในงบการเงิน ส่วนผู้ถือหุ้น จะมี กำไรสะสม ซึ่งก็คือส่วนเหลือจากปันผล กำไรสะสม=eps-dps+อื่นๆ นั่นเอง
บ.ที่ดีจะพยายามรักษา ROE ให้อยู่ในระดับสูง ซึ่งทำได้สองแบบคือ
  1. ทำกำไรให้มากๆ เป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นที่มีส่วนของกำไรสะสม
  2. ปันผลมากๆให้ ส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นน้อย กำไรสะสมจะเพิ่มขึ้นน้อย
ทั้งสองกรณีจะมี ROE ที่สูงเหมือนกันแต่กำไรสะสมหรือ bvps จะอยู่ในระดับคงที่ ในบางบ.ปันผล 100% ของ eps ก็มีให้พบเห็นบ่อยใน SET บ.แบบนี้เรียก cash cow(เลียนแบบคำมาจาก milk cow) คือเป็นแม่วัวที่ให้นมรีดออกมาเป็น เงิน บ. cash cow โดยธรรมชาติจะมีลักษณะเหมือนธนาคารที่ให้ดอกคงที่แบบไม่ทบต้น
บ.ที่ปันผลสูง ถ้ามองดูอัตราส่วนแบบคร่าวๆจะเห็นเป็น dividend yield = ปันผลต่อหุ้น/ราคา=dps/p ถ้า div yield สูงก็จะเรียกว่าหุ้นปันผลสูง สังเกตดูว่ามีส่วนประกอบที่เป็นราคาอยู่ด้วย ต้องระมัดระวังหุ้นที่ราคาลดลงมาต่อเนื่อง จะทำให้ div yield สูง แล้วราคากลับลดลงต่อเนื่องจนไม่สามารถ div ได้เพราะขาดทุน บ.ไม่มีกำไร ปันผลไม่ได้
div yield ที่สูงควรอยู่ในระดับสม่ำเสมอ ซึ่งก็คือ ปันผลต่อหุ้นอยู่ในระดับสูง การปันผลต่อหุ้นสูงจะมาจากนโยบายที่ให้ปันผลสูง ในระดับ >50% ซึ่งจะพบว่า หุ้นปันผลสูงจะมีนโยบายปันผลสูง >50% หรือไม่กำหนดเลยคืออยากปันเยอะๆก็ไม่บอก ceoเจ้าของเขาอยากได้ตังค์

กรณี 2 ที่บ.มี ROE สูงและปันผลสูง จะให้ผลตอบแทนรวม= ส่วนต่างราคา+ปันผล ได้ดีหรือไม่เมื่อเทียบกับกรณี 1 ที่ บ. ROE สูงแต่ปันผลน้อย หรือในกรณี extreme บ.ไม่ปันผลเลย ดังบ. Berkshire Hathaway ของ warren buffet ไม่มีนโยบายปันผลเลย ถ้าอยากได้ตังค์ไปขายหุ้นเอาตังค์เอง ในความรู้สึกทั่วๆไปจะนึกว่า ปันผลสูงแม้จะมีส่วนต่างราคาน้อยเพราะราคาจะนิ่งไม่ไปไหนไกล ก็น่าจะดีกว่าบ.ที่มีส่วนต่างราคาที่จับต้องไม่ได้ยังไงก็มีเงินโอนมาหรือมาด้วย Cheque ทางไปรษณีย์  แม้ปันผลได้น้อยกว่าก็ภูมิใจ
ปันผลถ้าให้เปรียบเทียบจะเหมือน ดอกไม้ที่ให้ดอกเมื่อถึงเวลาซึ่งจะเป็นไม้อายุสั้น ส่วน ROE คือต้นไม้ยืนต้นที่เติบโตสูงใหญ่ให้ร่มเงาที่ใช้เวลายาวนานกว่าจะโตเต็มที่ บางทีก็มีคนค้นหาไม้ยืนต้นสูงใหญ่ที่ให้ดอกงาม มี แต่โอกาสพบได้ยาก เรามาทดสอบดูว่าระหว่าง ดอกไม้ กับ ร่มเงาแบบไหนให้ผลตอบแทนที่ดี

คลิ๊กที่ภาพเพื่อดูรายละเอียด


การทดสอบได้ทดสอบ นโยบายปันผลต่างๆกัน และเพิ่มการทดสอบ ROE ที่ต่างกัน ผลตอบแทนในภาพเป็นผลตอบแทนรวมเป็นจำนวนเท่าที่เทียบกับเงินต้นที่ใส่เข้าไปในปีที่ 1 และวัดผลตอบแทนรวมเมื่อครบปีที่ 20
พบว่า ปันผลเป็นส่วนที่ให้ผลตอบแทนน้อยมากเมื่อผ่านเวลายาวนาน มีลักษณะเหมือนโครงการประชานิยมที่แจกเงินในเบื้องต้น แต่ความคุ้มค่าในระยะยาวแทบไม่มี ถ้าไม่ศึกษาเรื่องการลงทุนในระยะยาวให้ดี เราอาจพลาดผลตอบแทนที่ควรจะได้ไป 22 เท่า (31/1.4=22) ถ้าเลือกเอาเกณฑ์ปันผลเป็นหลัก
การปันผลใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป ยังต้องคงใช้เป็นเกณฑ์เพื่อดูลักษณะบ.ที่กำไรเพิ่มขึ้นได้ คือปันผลที่เป็นเงินจะเพิ่มขึ้นตามกำไร บ.ที่ปันผลได้มาตลอด 10 ปีแล้วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆแสดงอาการว่าบ.มีความแข็งแกร่ง แต่การใช้เกณฑ์ปันผลสูงดูจะเป็นการจำกัดลักษณะบ.ที่ดีมากเกินไป ใช้แค่ปันผลสม่ำเสมอก็เพียงพอปันน้อยก็ได้ แต่เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ เพราะราคาที่เป็นส่วนของ div yield อาจวิ่งเร็วกว่าจน yield อยู่ต่ำสม่ำเสมอ
dividend yield สำหรับนโยบายที่ต่างกันสำหรับ PE=20 นโยบายปันผล 30% yield=2%,นโยบาย 50% yield=3%, นโยบาย 70% yield=4%
ถ้า PE=10 นโยบาย 70% yield จะสูงถึง 8% จูงใจยิ่งนัก

***บ.ที่สามารถนำกำไรสะสมมาใช้เป็นเงินหมุนเวียนเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ สร้างรายได้ ดังที่เห็นในบทความ งบการเงิน จะมีลักษณะที่เฉพาะใน business model ที่มี franchise หรือหน่วยธุรกิจที่สมบูรณ์ในตัวเองตั้งแต่การผลิต การจัดจำหน่าย หรือใช้ส่วนผลิตที่มี economies of scale ร่วมกันหน่วยอื่นๆ การขยายหน่วยธุรกิจย่อยจะใช้เงินลงทุนที่น้อย และคืนทุนเร็วซึ่งจะเห็นได้จากกำไรขั้นต้น gross margin ที่สูง  ในขณะที่รายได้กำไร เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากการลงทุนที่น้อย debt ของบ.จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ลักษณะเหล่านี้จะตรงกับ บริษัทที่ดี
บ.โดยทั่วไปจะใช้เงินกู้ในการขยายกิจการ แต่การขยายธุรกิจหรือการซื้อสินทรัพย์ที่ต้องลงทุนมาก การกู้เงินจากธนาคารหรือออกหุ้นกู้อาจไม่เพียงพอ บ.อาจเลือกการเพิ่มทุน แจกวอแรนต์ หรือต้องกองทุนซึ่งเป็นที่นิยมในขณะนี้ การเพิ่มทุนหรือตั้งกองทุนไม่ได้หมายความว่าบ. ใช้เงินลงทุนน้อยหรือมากต่อหนึ่ง franchise ยังต้องพิจารณา business model ว่ามีลักษณะแบบใด ลักษณะที่ไม่ประสงค์จะเป็น บ.ที่มีโรงงานขนาดใหญ่ มีค่าซ่อมบำรุงสูงหรือที่เรียกว่า CAPEX แต่ละสาขาที่ขยายสร้างรายได้จะกำไรน้อย มีกำไรขั้นต้นต่ำ <30 เพิ่มทุนบ่อยครั้ง ขยายธุรกิจไปในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักเพราะจะไม่ได้ผลประโยชน์จากการใช้สินทรัพย์เดิมร่วมกัน ยิ่งขยายยิ่งต้องลงทุนสูง
บ.ที่ใช้กำไรสะสมขยายธุรกิจได้ ROE จะคือดอกเบี้ยเงินฝากแบบทบต้นตอบแทนผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุนจะไม่ต้องการให้บ.เอาเงินออกมาปันผลเลย แต่อยากให้ บ.เอาเงินไปลงทุนต่อเนื่อง ลองนึกดู บ.ที่ให้ดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 20 คงไม่มีธนาคารไหนทำแบบนั้นได้ แต่ต้องระมัดระวัง ROE ที่แกว่งตัวควรดูในระยะยาวว่ามีความสม่ำเสมอ ไว้ใจได้หรือไม่

***ความรู้จากการนำเอากำไรสะสมมาทบต้นแล้วลงทุนต่อ เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการเลือกกองทุนรวมได้ เพราะลักษณะกองทุนจะเอา ส่วนต่างราคามาปันผล ผลตอบแทนรวม= ส่วนต่างราคา+ปันผล, กองทุนรวมไม่สามารถปันผลโดยไม่เอาส่วนต่างราคามาได้ กองทุนไม่ได้ทำธุรกิจจริงเป็นแต่การซื้อขายหุ้นดังจะเห็นว่าหลังปันผล NAV ก็จะลดลงเท่ากับ% ที่ปันผล ต่างจากราคาหุ้นที่ไม่ต้องลงเท่า% ปันผลก็ได้เรียกปันผลฟรีเพราะราคาเป็นการกำหนดกันเองจากคนซื้อขาย ไม่ใช่ราคาทางบัญชีเหมือน NAV ดังนั้นกองทุนดึงเงินต้นเอามาปันผลนั่นเอง ผลตอบแทนรวมกองทุน=ส่วนต่างราคา
ข้อโต้แย้งเรื่องกองทุนปันผลมีมุมมองหลายด้านที่มองเหมือน  ราคากองทุนที่เป็นราคาหุ้น ในความเป็นจริงราคา NAV กองทุนเป็นแค่เงาสะท้อนของราคา ไม่ใช่ของธรุกิจ , ราคาสะท้อนไปที่กำไรธุรกิจ+อื่นๆ

การมองที่ปันผลของกองทุนรวม เป็นแค่การมองแค่ภาพลวงตาของส่วนต่างราคา ที่ทำให้ดูสำคัญมากเกินความจำเป็น ดูเพิ่มเติมได้ใน LTF ถือยาวแล้วรวย สำหรับกองทุนที่ปันผลกับไม่ปันแบบไหนดีกว่า

Luck is a dividend of sweat. The more you sweat, the luckier you get.
Ray Kroc

3 ความคิดเห็น :

  1. แนวคิดดีครับ ขอบคุณมาก

    ตอบลบ
  2. แนวคิดดี แต่เงินปันผลยังสามารถไปใช้เครดิตภาษีได้นะคับ ถ้าอยู่ในบริษัทจะโดนภาษีจากกำไรสุทธิ 30 % แต่พอปันผลออกมาจะจ่ายภาษีตามเรตแต่ละคน อีกอย่างนึงถ้าเงินปันผลที่ได้รับสามารถไปลงทุนในหุ้นที่ roe สูงเท่าเดิมหรือสูงกว่าเดิมได้ก็ดีกว่าหุ้นเติบโตนะคับ
    ปล คุณ stock ลืมคิดผลตอบแทนจากการรับเงินปันผลไปลงทุนซ้ำด้วยนะคับ คิดเสมือนว่ารับเงินปันผลแล้วไปใช้ซื้อของหมดไป แต่ยังไงก็ขอบคุณ

    ตอบลบ
  3. ถ้าเรื่องลดหย่อนภาษี ลองอ่านเรื่อง
    LTF ที่ลดหย่อนภาษีได้อย่างมาก เปรียบเทียบกับการซื้อกองทุนรวมธรรมดาที่นำมาลดหย่อนภาษีไม่ได้
    เป็นเรื่องเกี่ยวกับกลยุทธแบบใดดี
    http://stocktutors.blogspot.com/2014/01/ltf-index-fund-ltf-index-fund.html

    การเอาเงินปันผลกลับไปลงทุนในหุ้น ROE สูง ก็คือเราเลือกหุ้นเติบโตดี
    ROE สูงเป็นสัญลักษณ์นึงของ หุ้นเติบโต
    สังเกตดูตัวอย่างที่นำมา ROE ระดับ 15 ถ้าไม่เติบโตดีก็ยากที่จะมี ROE ขนาดนั้น

    อีกอย่างเงินปันผลจะมีสัดส่วนที่น้อยถ้าเทียบกับเงินต้นที่ลงทุนไป ถ้าทางบัญชีจะบอกว่าผลตอบแทนจะต่างกัน
    ในการลงทุนซ้ำ กับไม่ลงทุนซ้ำ
    ถ้านำเงินทุนส่วนมากไปไว้ในบ.ปันผลดี แล้วเอาเงินทุนส่วนน้อยที่ได้จากปันผลไปไว้ในบ.เติบโตดี ผลตอบแทนรวมที่ได้จะได้ใกล้เคียงกับ ปันผลที่ได้ ต่างจากถ้านำเงินลงทุนส่วนมากไปไว้ในบ.เติบโตดี ผลตอบแทนก็จะใกล้เคียงกับบ.เติบโตดี

    โดยวิสัยทัศน์ เราจะไม่มองหาสิ่งที่ให้ผลตอบแทนน้อยเป็นเงื่อนไขแรกในการพิจารณา

    จากบทความบ.ที่ปันผลสูง จะให้ผลลัพธ์ที่ต่างกับบ.เติบโตดี อย่างมากในระยะยาว
    กลยุทธเพิ่มเติมอย่างอื่นอาจทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
    ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ กำไรของบ.ที่จะเพิ่มขึ้นมากเพียงใด

    ตอบลบ