เวอร์ชั่นเต็ม Youtube HD
ก่อนที่จะพิจารณาเรื่อง กำไรทบต้น ของนำเสนอเส้นทางนักลงทุน ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมต้องใช้กำไรทบต้น
เส้นทางนักลงทุน
เส้นทางนักลงทุนจะเริ่มต้นที่ การซื้อทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนกลับคืนมา ทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนจะเป็นเครื่องมือหลักของนักลงทุน ทรัพย์สินบางอย่างแม้จะเรียกว่าทรัพย์สินแต่เมื่อไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ชัดเจนกลับมาเป็นผลตอบแทน ก็เป็น ทรัพย์สินที่ไม่ได้สร้างรายได้หรือผลตอบแทนนั่นเอง ซึ่งก็จะไม่ได้นำนักลงทุนไปสู่การมีทรัพย์สินที่มากขึ้น
ในตอน เริ่มต้น ของช่วงเวลาการลงทุน นักลงทุนที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์จะพยายามศึกษา สะสมความรุู้ จากแหล่งต่างๆ อ่านหนังสือ ดูรายการทีวี สัมมนาทั้งฟรีหรือเสียเงิน เพื่อรวบรวบสิ่งที่เป็นไปได้ และสิ่งที่ควรทำจากทฤษฏีเหล่านั้น ในช่วงนี้ การลองผิดลองถูกจะเป็นเรื่องประจำที่นักลงทุนจะพบเจอบ่อยครั้ง ทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้ อาจมีทั้งเรื่องจริง เรื่องไม่จริง เป็นแค่ความคิดเห็นจินตนาการไปเองจากแหล่งศึกษา หรือเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์กันกี่ครั้งก็ได้ผลลัพธ์ที่คงเดิม
การศึกษาในช่วงนี้จะกินเวลาและทรัพยากรจำนวนมาก การใช้ของฟรีที่ไม่มีค่าใช้จ่าย เครื่องมือที่ฟรีที่ไม่มีความสามารถมากนัก ความรู้ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ จะสร้างปัญหาหรืออุปสรรคมากกว่า เครื่องมือที่มีมาตรฐานระดับโลก ความรู้ที่มีการพิสูจน์อย่างมีระเบียบ พิสูจน์ตามสมมติฐานแล้วผลลัพธ์ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่มี ต้นเหตุ ผลลัพธ์ก็ไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งความรู้ลักษณะนี้จะเป็นความรู้ในระดับเดียวกับการทำวิจัย ซึ่งจะพบเห็นได้ตามสถาบันการเงินในต่างประเทศ ซึงเราก็สามารถหาอ่านได้ตามนิตยสาร ต่างประเทศ หรือตำราต่างประเทศ
ถ้าใช้ความรู้หรือตำราในไทย คุณภาพที่ได้มักจะเป็นเรื่องความคิดเห็นของผู้นำเสนอ แต่ไม่เคยมีการทดสอบจริงๆจัง มีแต่บอกว่าจากประสบการณ์ยาวนาน ซึ่งประสบการณ์ที่ผิดไม่ว่าจะมีอายุเพียงใด แต่พิสูจน์มาแล้วว่าผิด จะกี่ปีก็เป็นเรื่องที่ผิดตลอดไป
เมื่อศึกษาจนได้องค์ความรู้ที่เพียงพอในการลงทุน และมีเงินลงทุนมากเพียงพอ จำนวนเงินที่มากเพียงพอจะเป็นเรื่องที่สำคัญ นักลงทุนหน้าใหม่ส่วนมากมักจะจดจำว่าการลงทุนจะสร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาลโดยใช้เงินลงทุนที่น้อยนิดได้ ซึ่งการลงทุนทั่วๆไปจะให้ผลตอบแทนเป็นหลักเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ผลตอบแทนเป็นหลายเท่าตัวเหมือนการพนัน หรือการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะล้มละลายซึ่งก็ใกล้เคียงกับการพนันมาก การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นหลัก % ถ้าลงทุนด้วยเงินทุนหมื่นบาท ผลตอบแทนที่ได้ก็ควรเป็นหลักพันบาท ถ้าลงทุน 1 ปีได้ผลตอบแทนหลักพันบาท ผลตอบแทนมีขนาดที่เล็กไม่คุ้มค่าต่อการเสียเวลามาลงทุน แต่ถ้าทุนเป็นแสนบาทผลตอบแทนระดับหมื่นก็พอมีกำลังใจให้ลงทุนต่อไปได้
ในการ trade for living ซึ่งคนทั่วไปจะต้องใช้เงินดำรงชีวิตปีละหลายแสนบาท ก็คงจะคำนวณได้ว่าทุนเท่าไหร่จึงจะทำให้แผนการนี้เป็นจริงได้
ทรัพย์สินที่ผ่านช่วง เติบโต มาแล้วก็จะเข้าสู่ เต็มที่ ที่การเพิ่มขึ้นของขนาดไม่มากอย่างที่เคยเป็นมาเพราะตลาดการลงทุนไม่รองรับขนาดทรัพย์สินมากขนาดนั้น ทรัพย์สินมีขนาดใหญ่กว่าสภาพคล่องของตลาดนั่นเอง กลยุทธในช่วง เต็มที่ นี้ควรเน้นการลงทุนที่รักษาความมั่งคั่งให้มีความมั่นคง มีการกระจายการลงทุนไม่ให้มีความเสี่ยง จากการที่บางสินทรัพย์เสียหายมากเกินไป จุดประสงค์เป็นการคงอำนาจซื้อไว้ ไม่ให้ลดลง ให้เพิ่มขึ้นได้ แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ขอให้ไม่เสียหายมากเกินไป การกระจายการลงทุนจึงเป็นเรื่องทีเหมาะสมในช่วง เต็มที่
มีความเข้าใจผิดสำหรับในกลยุทธในช่วงนี้ คือใช้กลยุทธ เต็มที่ ในช่วงเติบโต ใช้การกระจายความเสี่ยงซึ่งก็คือการกระจายกำไรให้ลดลง เพราะการกระจายความเสี่ยงก็คือการลดความเสี่ยง ก็จะลดกำไรลงไปด้วย การกระจายกำไรจะทำให้การเติบโตมีน้อย แต่หวังใช้การกระจายความเสี่ยงเพื่อหวังให้ทรัพย์สิน เติบโต อย่างมาก ซึ่งก็คงจะได้แค่ตั้งเป้าหมายที่ไม่มีแผนการเช่นเคย เป็นแค่การลองผิดลองถูก ลดกำไรเพื่อหวังให้กำไรเพิ่ม เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างแท้จริง
ในช่วงที่จะเปลี่ยนผ่านจาก ตั้งต้น ไปสู่ เติบโต ความรู้ที่ดีและเงินทุนที่มากพอ จะสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่มากซึ่งจะเข้าสู่ช่วงการลงทุนที่ทำให้ทรัพย์สิน เติบโต ซึ่งจะมีลักษณะที่ทำได้สองแบบดังนี้
1. Super Stock
Super Stock คือหุ้นที่การเติบโตทั้งรายได้และกำไรอย่างมากในระยะเวลาที่ยาวนานต่อเนื่อง บริษัทเช่นนี้จะมี business model ที่สามารถขยายกิจการได้อย่างดีพิเศษ ลูกค้ามีจำนวนมาก ยอดขายของบริษัทเติบโตได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ การลงทุนใน super stock ด้วยกลยุทธแบบ ลงทุนยาวนานจะคือคำตอบที่ดีในการสร้างทรัพย์สินให้ เติบโต อย่างมาก ดีกว่าการซื้อๆขายๆซึ่งจะบั่นทอนกำไรลง
มีความเข้าใจผิดในการลงทุนเกี่ยวกับ super stock หลายอย่าง เช่น super stock จะมีอยู่ทุกช่วงเวลาที่เราค้นหา ซึ่งเป็นไปได้ยากอย่างมากที่จะเกิด super stock ขึ้นมาได้ เพราะ super stock จะทำงานได้ดีต้องอยู่ใน วัฏจักรเศรษฐกิจที่ดี+ model businees ที่ดี + ความรู้ของนักลงทุนที่แยก super stock ออกจากหุ้นธรรมดาได้ หรือ
การลงทุนยาวนาน จะสร้าง super stock ซึ่งคิดทบทวนดูก็จะพอนึกออกว่ามักจะมีคำแนะนำทำนองนี้บ่อยๆ การที่เราลงทุนยาว ติดดอยในหุ้นแย่ๆก็เป็นลงทุระยะยาวเหมือนกัน การลงทุนยาวไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมา ถ้าหุ้นนั้นดีไม่จริง มีแต่จะ สร้างความเสียหายระยะยาว
การหาหุ้นที่ดีแล้วลงทุนยาวจะเป็นสิ่งที่ควรทำ มากกว่า ลงทุนยาวเพื่อรอให้หุ้นนั้นดี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่บอกง่ายแต่ทำยาก
วัฏจักรเศรษฐกิจที่ดีต่อการขยายตัวของยอดขายบริษัทต้องประกอบไปด้วย ต้นทุนที่ถูก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรือแรงงาน ความต้องการของลูกค้ามีมาก หรือเทคโนโลยี วิถีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นแค่ไม่กี่ครั้งในช่วง หลายสิบปี และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นซ้ำกันจนเราเขียนเป็นตำราทำนายอนาคตได้ การเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยเหล่านี้เป็นเรื่องที่คาดเดาแทบไม่ได้ มีแต่แค่การติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นและทิศทาง คาดเดาได้ยาก เช่น Pager ซึ่งเป็นอุปกรณ์สื่อสารแบบนึงที่มาก่อนยุคโทรศัพท์มือถือ, Blackberry ที่ใช้ส่งข้อความ, Nokika หรือ Kodak ต่างก็มาจาก การเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยีที่เกิดในจังหวะที่เหมาะสม และล่มสลายไปเมื่อมีสิ่งใหม่มาแทนที่ ซึ่งยากจะคาดเดาทุกอย่าง
model business ที่ดีจะสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น ขยายตัวได้อย่างมหัศจรรย์ ซึ่งเราจะรู้ก็ต่อเมื่อมีการประกาศยอดขาย แต่เราสามารถเจาะลึกเข้าไปถึงแผนธุรกิจที่บริษัทนั้นทำแม้จะสังเกตได้แค่อย่างผิวเผินเพราะเป็นความลับของบริษัท แต่สิ่งที่เปิดเผยก็พอจะบอกความแตกต่างได้
และทีสำคัญอย่างมากคือความรู้ความเชียวชาญของนักลงทุน เนื่องจากการอ่านงบการเงิน ดู PE ที่สูง ปันผลที่ต่ำ หนี้สินที่สูง งบการลงทุนที่มากของบริษัทจะทำให้หุ้นที่เป็น super stock จะดูแล้วไม่น่าสนใจใดๆเลยในทางงบการเงิน ไม่ว่าจะแกะแต่ละบรรทัดระหว่างบรรทัด นอกบรรทัดแล้วก็ตาม งบของ super stock ก็จะดูไม่ดีเลย ไม่ว่าจะมองในมุมใด ลงทุนสูงแต่ผลตอบแทนต่ำ หนี้สินรุงรัง การแยก super stock จากหุ้นเน่าๆ ก็ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการประเมินคุณค่าของ business model มากกว่าการอ่านงบการเงินปกติ super stock เป็นเรื่องผิดปกติ อ่านแบบปกติจะไม่พบสิ่งใดเลย
ที่มาของการเติบโตทางทรัพย์สิน ถ้าใช้วิธี Super stock โอกาสที่จะสำเร็จต้องมี ทั้ง ช่วงเวลา+ธุรกิจ+ความรู้นักลงทุน ซึ่งทั้งสามสิ่งเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมๆกันได้ยาก แต่เกิดขึ้นได้ ในหลายสิบปีอาจมีโอกาสแค่ครั้งเดียวที่จะเจอโอกาสดังกล่าว ซึ่งก็คงเป็นวิธีที่บางท่านที่อาจจะรอคอยตลอดไป ถ้าเจอโอกาสดังกล่าวความคุ้มค่าจะมีมากมายอย่างมหาศาล ถ้าธรรมชาติให้โอกาสมา
2. กำไรทบต้น
กำไรทบต้นจะเกิดจาก ระบบการลงทุนที่สร้างกำไรออกมา แล้วนำกำไรดังกล่าวมาลงทุนซ้ำรวมเป็นต้นทุนใหม่ที่มีขนาดมากขึ้น ระบบการลงทุนที่ดีควรสร้างกำไรออกมาได้ แม้ไม่สม่ำเสมอ แต่ก็ควรมีกำไร ระบบเหล่านี้มักจะมาในรูปแบบ Timing คือจะให้จังหวะเวลา ว่าเมื่อไหร่ ควรซื้อขาย โดยตัวระบบจะคำนวณ Pricing + Timing ระดับราคาและช่วงเวลาที่เหมาะสมออกมาให้ การสร้างระบบนี้จะใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์สถิติ ที่ใช้ความได้เปรียบทางสถิติในการเลือกกลยุทธซึ่งอาจสร้างออกมาเป็น กราฟราคาเพื่อให้เข้าใจง่าย หรือไม่ใช้กราฟราคาเลยก็ได้ เพราะเป็นสถิติ ขอแค่มีตัวเลขก็ทำงานได้แล้ว
การใช้คณิตศาสตร์สถิติจะใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการประกัน จะคำนวณอัตราเบี้ยประกันได้อย่างไร จากสถิติการ cliam ประกัน จำนวนผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง รถชน เกิดอุบัติเหตุ ทุกเหตุการณ์เป็นเรื่องในอนาคตที่เดาหรือทำนายอะไรไม่ได้เลย แต่บริษัทประกันก็คำนวณบี้ยประกันที่บริษํทจะกำไรได้ต่อเนื่องได้ ไม่รู้อะไรในอนาคตเลยแต่สร้างกลยุทธเบี้ยประกันจัดการได้ ซึ่งเป็นความสามารถของ สถิตินั่นเอง
ระบบ Timing จะใช้หลักการทางสถิติเช่นเดียวกับการประกัน ในระดับระบบที่เป็นมาตรฐาน Timing จะคล้ายกับระบบ franchise ซึ่งมีคำแนะนำทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว ในเหตุการณ์ต่างๆกัน เพราะ Timing ออกแบบมาให้รองรับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคล้ายๆกับการประกับ
มีระบบ Timing ที่ไม่มาตรฐานอยู่มากมาย มักจะสร้างจากเครื่องมือที่ไม่มาตรฐาน ทฤษฏีที่เป็นความคิดเห็น ไม่ใช่เรื่องจริง ขาดวิธีทดสอบ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ไว้ทดสอบสถิติจริงๆนั่นเอง ว่าทฤษฎีเหล่านั้นเมื่อนำมาใช้จริงจะเป็นเรื่อง วิ่งชนกำแพง ยังไงก็เจ็บ เช่น แนวรับ แนวต้าน fibonacci level(ดูบทความ) ซึ่งมักจะเป็นทฤษฎีในรูปแบบทำนาย รูปแบบราคา ทำนายว่าราคาจะไปหยุดที่ตำแหน่งใด โอกาสที่จะเกิดเช่นนั้นขึ้นบ่อยๆ ยากยิ่งกว่าการซื้อ lottery ให้ถูก
ระบบ Timing จะสร้างขึ้นมาจากความได้เปรียบทางสถิติ ที่ใช้ ทั้งราคาและเวลาเป็นสิ่งพิจารณา Pricing+Timing มีระบบในช่วงเริ่มต้นที่เมินเฉยต่อระดับราคา Pricing ซึ่งจะได้เห็นผลลัพธ์ของการเพิกเฉยสิ่งที่สำคัญไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น ระบบที่ไม่ใช้ระดับราคาจะมีลักษณะ การลงทุนซ้ำไปเรื่อยๆ ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง DCA Dollar cost average ก็เป็นลักษณะนึงที่ใช้ Timing แบบเต็มรูปแบบใช้ปฏิทินเป็นตัวกำหนดจังหวะ ซึ่งก็ไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในด้านเวลา หรือการลงทุน LTF Long term fund ที่ใช้ปฏิทิน 5 ปีลงทุน ถ้ากำไรก็มีการเชิดชูกันอย่างมากว่ากองทุนบริหารดี ถ้าขาดทุนก็เงียบหาย การเชิดชูว่าบริหารดีเป็นเพราะกองทุนหรือสภาวะตลาดก็พอจะพิจารณาได้ และอย่าลืมว่าการลงทุน LTF ไม่ได้ดูที่ระดับราคาเลย จะทำการขายก่อนเวลาที่กำหนดไม่ได้ เงื่อนไขเรื่องเวลาก็เป็นตัวบอกอยู่แล้วว่าระบบใช้อะไรพิจารณา
เมื่อระบบ Timing สร้างกำไรออกมาเป็นผลตอบแทนได้ กำไรที่ได้มามีทางเลือกสองทาง หนึ่งนำกำไรนั้นออกไปใช้ แล้วลงทุนด้วยเงินทุนคงเดิมซึ่งเป็นลักษณะที่คนทั่วไปทำ การได้กำไรเป็นเรื่องโชคดีต้องให้รางวัลตัวเองหน่อย ทางที่สองนำกำไรมาลงทุนซ้ำ ซึ่งเป็นลักษณะที่คนจำนวนน้อยที่จะทำเช่นนี้ จะนิยมทำกันในพ่อค้า แม่ค้าทั่วไปที่รู้ว่ายิ่งเพิ่มเงินลงทุน กำไรก็จะเพิ่มมากขึ้น
ทางแรกคือ จะได้ กำไรคงที่ ทุนที่เท่าเดิมก็ควรได้กำไรที่คล้ายเดิม ทางที่สองจะได้ กำไรแบบทบต้น
กำไรทบต้น
ทีมาของกำไรทบต้น จะมาจากกำไรจากการลงทุนเดิม แล้วนำกำไรใหม่มารวมเข้ากับทุนเป็นต้นทุนใหม่แล้วลงทุนซ้ำ การเพิ่มขนาดทุนจะเป็นการเพิ่มขนาดกำไร ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเรียกว่า snow ball effect ที่ก้อนหิมะเล็กๆที่ยอดเขา เมื่อกลิ้งลงมาจะดึงเอาหิมะระหว่างทางพอกพูนเข้าจนเป็นก้อนหิมะขนาดใหญ่มากขึ้น เมื่อมาถึงปลายทางจากก้อนเล็กๆจะกลายเป็น ก้อนหิมะขนาดมหึมา
ลักษณะนี้ในชีวิตจริงจะเหมือนการผ่อนสินค้าต่างๆ เช่นถ้าบ้านราคา 3 ล้านบาท แต่ถ้าเราผ่อนธนาคาณ 20 ปี รวมดอกเบี้ยราคาบ้านรวมจะเป็น 4-5 ล้านบาทได้ โดยธนาคารจะได้ดอกเบี้ยรวมอย่างมากถ้ายิ่งระยะเวลาผ่อนที่ยาวนาน
ในการลงทุนเราต้องการเป็นนายธนาคารที่มีลูกหนี้มาผ่อนและจ่ายดอกเบี้ยในระดับสูงกับเราตลอดไป
ในการทดสอบกับ SET 27 ปี 1987-2013 หรือ 2531-2556 จะใช้กลยุทธ buy and hold หรือ hold ซึ่งเป็นกลยุทธที่ยอดนิยม ซื้อแล้วก็ถือ ไม่ได้สนใจเรื่องระดับราคา แต่พิจารณาแค่เวลา คือซื้อต้นปีและขายปลายปี แล้วแต่ดวงหรือโอกาสที่จะเกิดขึ้น เทียบกับ Timing ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ทั้ง ราคา+เวลา Pricing +timing
ผลการทดสอบออกมาว่า กลยุทธ hold จะให้ผลตอบแทนจากเงินลงทุนครั้งเดียวที่ 100,000 บาท รวมกับต้นทุนหรือกลายทรัพย์สินที่ 5 แสนกว่าบาท ไม่ว่าจะใช้วิธี กำไรคงที่ หรือ กำไรทบต้น
แต่ถ้าใช้ Timing แบบ กำไรคงที่ จะได้ทรัพย์สิน เกือบ 7 แสนบาท และที่น่าตื่นตะลึงแบบไม่ธรรมดาที่ กำไรทบต้น ใช้คู่กับ Timing จะสร้างทรัพย์สินขนาดใหญ่ถึง 12 ล้านบาท จากเงินลงทุน 1 แสนบาท
ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะ Timing สร้างกำไรออกมาจากการลงทุน แล้วนำกำไรมาทบต้นลงทุนซ้ำ เมื่อมีกำไรมาก ทุนถัดมาก็มาก แม้การลงทุนจะขาดทุนบ้างแต่ Timing ก็จะจำกัดขนาดลงทุน อยู่รอดจนมีกำไรมากขึ้นอีกครั้ง กำไร ทุน ทับถมกัน ด้วยจำนวนรอบการลงทุนที่มาก จึงเกิดการทวีคูณของกำไรขึ้นได้
ถ้าดูที่ Compound Equity รายปี รูปร่างของ curve ในขาขึ้นแบบ Timing ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ Hold มาก ในขาลง Timing จะมีการปรับตัวน้อยกว่า แต่ผลตอบแทนจะมีขนาดที่ต่างกันมาก จนต้องแยกแกนผลตอบแทนที่ต่างกันเป็น 10 เท่าตัว
คุณสมบัติของ ระบบ ที่ใช้คู่กับ กำไรทบต้น ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนมหาศาล
- ระบบต้องใช้ระดับราคาในการพิจารณา signal ไม่ถือยาวตามระยะเวลา มีจุดเข้าออก
- ป้องกันการขาดทุนมากในขาลง เพื่อคงเงินต้นให้มาก ระบบขาดทุนได้แต่ต้องขาดทุนแต่น้อย
- ระดับกำไร >10% ต่อปี ระดับกำไรที่มากจะย่นระยะเวลาจำนวนรอบการลงทุนให้สั้นลง
สรุป
การเลือกกลยุทธการลงทุนเพื่อให้ทรัพย์สินเติบโต จำเป็นต้อง เลือกวิธีที่ให้กำไรมากเพียงพอ ที่จะมีผลให้ทุนใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมาก ซึ่งก็ต้องพึ่งระบบการลงทุนที่ ปกป้องการขาดทุน คว้ากำไรขนาดใหญ่ได้ทุกครั้ง ซึ่งระบบแบบนี้ต้องมีการสร้าง ออกแบบ ทดสอบและพิสูจน์มาอย่างดี ด้วยขบวนการทางสถิติ กระบวนการวิจัย หรือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่มีเหตุมีผลที่สมพันธ์กันอย่างแท้จริง ไม่เลื่อนลอย เป็นทฤษฎี เขาเล่าว่า จากเซียน ก็จะสร้างเส้นทางนักลงทุนจาก ตั้งต้น กลายเป็น เติบโตได้อย่างมาก
การสร้างและออกแบบระบบ ในยุคปัจจุบัน ใช้ทฤษฎีที่ทันสมัยและเครื่องมือที่ทันสมัย ก็สร้างขึ้นมาได้แม้จะมีความไม่มั่นใจ เรื่องการพิสูจน์ในอดีต ไม่ได้การันตีในอนาคต แต่ถ้าสิ่งที่ทำเป็น ต้นเหตุ ของผลลัพธ์ ผลตอบแทนที่มหาศาล อย่างแท้จริง การดำเนินกลยุทธแบบไม่ต้องคาดเดาอะไรเลยในอนาคตก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการบริหารสร้างต้นเหตุของความมั่งคั่งเหล่านั้นด้วยตัวของท่านเอง ยากที่จะมีใครพิสูจน์ได้ชัดเจนมากไปกว่าประสบการณ์ที่ได้สร้าง สาเหตุของความมั่งคั่งด้วยมือเราเอง
Compound interest is the eighth wonder of the world. He who understands it, earns it ... he who doesn't ... pays it.
Albert Einstein
คลิ๊กที่ภาพเพื่อดูรายละเอียด
ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบ